ถ้าเราจะบอกว่าจะต้องเสพข้อมูลจากไอดอลเยอะ ๆ เพื่อให้ตัวเองประสบความสำเร็จ มันยากค่ะ !!
…หนูดีว่าต้องระวังค่ะ…
เพราะว่าหนูดีได้ลองนั่งลองดู การทำงานใน 1 วันของตัวเอง ว่าเรามีเวลาพอจะแชร์การทำงานของเราไหม ?
คำตอบ คือ มีไม่พอแน่นอน
⏰ ขอยกตัวอย่างตารางชีวิตของหนูดีใน 1 วัน (ของวันก่อน ๆ) นะคะ
✅ หนูดีตื่นมาตั้งแต่เช้า นั่งสมาธิ 1 ชั่วโมง
✅ เล่นโยคะนิดนึง
✅ จัดรายการวิทยุของ Met 107 1 ชั่วโมง
✅ ออกไปที่โรงเรียนวนิษา จัด Open House อีก 2 ชั่วโมง
✅ หลังจากนั้นไม่ได้กินข้าวเที่ยงเพราะว่าอิ่มแล้ว เลยเบรคแป๊บนึง
✅ สัมภาษณ์บทความให้กับยูนิเซฟ อีก 2 ชั่วโมง
✅ หลังจากนั้นออกไปลงเสียงโฆษณาที่เหม่งจ๋ายอีกจนถึงประมาณ 20.00 น.
ซึ่งทำงานทั้งงงงงวันและนี่คือวันทำงานจริง ๆ ของหนูดี ซึ่งมันยุ่งมากเลย กินอาหารในรถ
และเพิ่งจะนึกได้ว่า ทำไมเราไม่ถ่ายรูปตอนเช้าเพื่อจะแชร์เนี่ย ? แต่เราถ่ายไม่ทันเพราะเรามัวแต่ทำงาน
เวลาเดียวที่บังเอิญถ่าย ก็คือ Agency ถ่ายภาพหนึ่งภาพให้หนูดีตอนลงเสียงในตอนสุดท้ายก่อนนั่งรถติดกลับมาที่บ้าน
เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะบอกว่าจะต้องเสพข้อมูลจากไอดอลเยอะ ๆ เพื่อให้ตัวเองประสบความสำเร็จ มันยากค่ะ !!
โดยเฉพาะไอดอลที่เขาทำงานหนักจริง ๆ มันจะหนักจนที่เขาไม่มีเวลามาทำ reality ตามติดชีวิตตัวเขาเองทุกวัน เพื่อให้ทุกคนเห็นว่า มันหนักหนาสาหัส แค่ไหน เขาถึงได้มีวันนี้
หนูดีคิดว่า การที่เราเข้าไปเสพเรื่องราวของเขา โดยเฉพาะ Instagram เป็นแพลตฟอร์มที่อันตรายมาก เพราะ Instagram ถูกสร้างมาให้แชร์ความสวยงามของภาพถ่าย เพราะฉะนั้น ภาพที่คนแชร์บน Instagram ส่วนใหญ่จึงเป็นภาพถ่ายสวย ๆ เสียมากกว่า
ตอนที่หนูดีไปเข้าวิปัสสนา 10 วัน ระหว่างที่นั่งอยู่เราเห็นภาพอะไรที่แย่ ๆ แล้วร้องไห้ นาทีนั้นถ้ามีมือถือ หนูดีขอถามว่า เราจะถ่ายภาพตัวเองไหม ? หน้าตาที่เราร้องไห้อยู่ เราจะลงรูปไหม เวลาที่เรารู้สึกแย่ ?
เพราะฉะนั้น คน ๆ นึงมันมีทุกด้านค่ะ มันมีทั้งแย่ มีทั้งดี มีเหนื่อย มีทำงานหนัก
แล้วพูดได้เลยว่า คนที่ทำงานหนักตัวจริง เสียงจริง ไม่มีใครที่มีเวลา ถ่ายรูปตัวเองหรือว่ามานั่งเขียนถึงการทำงานหนักของตัวเองหรอกค่ะ
กว่าที่เขาจะมีเวลามาแชร์อะไร ก็เป็นตอนที่เขาเสร็จจากงานหนักที่มันผ่านไปแล้ว ถึงมีเวลามานั่งร้านกาแฟสวย ๆ แล้วคิดว่า
“อุ๊ย ! ถ่ายภาพนี้ลงดีกว่า เพราะว่าทำงานหนักมาเยอะ น่าจะอัพอะไรสวย ๆ บ้าง”
เพราะฉะนั้น การที่คุณบอกว่าจะมานั่งเสพไอจีของเขา แล้วคุณจะประสบความสำเร็จเหมือนเขาบอกเลยว่าเป็นไปไม่ได้ค่ะ

บางทีเราชอบคิดว่า โอ้โห…ชีวิตเขาดีนะ ได้แต่งตัวสวย ๆ ได้กินของอร่อย ได้เที่ยวนั่นนี่ แล้วในที่สุดคุณก็จะกลายเป็นคนขี้เกียจและไม่ได้เป็นแบบเขา เพราะคุณก็จะเอาแต่ชิล ๆ และไปถ่ายรูปชิค ๆ
ถ้าคุณอยากที่จะเป็นแบบไอดอล ก็ให้ไปดูว่า…
1) ไอดอลเขาเรียนจบอะไรมาเขาถึงได้มีชีวิตที่คุณอยากจะมี
เช่น สมมติไอดอลของเรา คือสถาปนิกชื่อดังมาก ก็ให้ไปดูว่าเขาจบสถาปัตย์จากสถาบันไหน ตอนเรียนมันหนักแค่ไหนเขาสมัครเรียนยังไง เพื่อที่เราจะได้เป็นแบบเขา ในกรณีที่เรายังอยู่ในวัยเรียนนะคะ
2) ถ้าสมมุติเขาประสบความสำเร็จโดยไม่เกี่ยวกับการเรียน
ให้ไปดูว่าเขาทำงานอะไร เขาทำงานยังไงและใช้ชีวิตการทำงานยังไง เช่น…
– เขาสร้างคอนเนคชั่นยังไง
– เขาสร้าง product ขึ้นมายังไง
– เขามีช่องทางจัดจำหน่ายยังไง หรือไปศึกษาลูกล่อลูกชนในเทคนิคการขายของเขา
3) ถ้าไอดอลของคุณเป็นคนดังและมีคนไปสัมภาษณ์
ให้คุณตั้งใจฟังดี ๆ เลยว่า เขามีวิธีคิด วิธีการทำงานยังไง ถ้าเขาเคยเขียนหนังสือ ก็ซื้อหนังสือเขามาอ่าน
ถ้าเขาเคยเขียนบทความลงที่ไหน เราก็ไปตามอ่าน
วิธีนี้เป็นวิธีที่คุณจะได้เข้าไปทำความเข้าใจในระบบการทำงานของเขาและเรียนรู้ How to ว่าทำยังไงเราถึงจะได้มีชีวิตแบบเขา
4) แต่อย่าไปดูตอนเขากำลังกินกาแฟหรือกำลังไปเที่ยวเมืองนอก
อันนั้นเป็นตอนที่เขาพักและได้ใช้ประโยชน์จากความเหนื่อยของเขาแล้วค่ะ
อย่างตัวหนูดีเอง ที่อาจจะมีคนเข้ามาติดตามและชื่นชอบเราในแบบที่เป็นเรา (ทั้งนี้ก็อาจมีคนไม่ชอบบ้างนะคะเป็นธรรมดาของโลก) หนูดีคิดว่าคนที่มา Follow หนูดีนั้น แอบเสี่ยงนิดนึงตรงที่เวลาทำงานหนูดีจะไม่ลงรูปเลย เพราะว่ามันเหนื่อย
แล้วส่วนใหญ่คนที่ทำงานเป็นนักวิชาการมันจะไม่มีอะไรหรอก นอกจากอ่าน เขียนเตรียมข้อมูล
แม้กระทั่งเวลาที่เราไปบรรยายไปเลคเชอร์ หลายเลคเชอร์เราก็ไม่มีเวลาถ่ายรูปตัวเองเพราะว่าเราต้องอยู่บนเวที
หรือถ้าไปถ่ายโฆษณาซึ่งเป็นงานที่หนักและเหนื่อยมาก ก็ไม่สามารถถ่ายภาพมาลงได้เพราะถือว่าเป็นความลับระหว่าง Agency กับลูกค้า
ฉะนั้น โอกาสที่คุณจะได้ใกล้ชิดแบบ Inside สุด ๆ กับคนที่ทำงานหนักผ่าน Social Media นั้นมันยากมากค่ะ เพราะส่วนใหญ่งานมันหนัก มันยาก และมันไม่ได้สวยงามที่จะเหมาะมานำเสนอบนแพลตฟอร์มที่มันเน้นความสวยงามต่าง ๆ
ก็เลยอยากฝากไว้ว่า เราไปตามดูชีวิตใน Social Media ของเขาได้ ว่ารวม ๆ แล้ว เขามีบุคลิกภาพอย่างไร แต่ถ้าอยากดูการทำงานของคน ๆ นึงต้องดูในที่ที่เกี่ยวกับการทำงานจริง ๆ
เช่น ถ้าเขามีบริษัท เราก็อาจจะลองสมัครไปฝึกงานกับเขาสมัครเข้าไปช่วยงานฟรี เหมือนเป็นการไปอยู่ใกล้เขาเพื่อสังเกตการทำงานและฝึกฝีมือค่ะ
การที่เราเสพความสำเร็จของเขา โดยที่ยังไม่ได้ดูวิธีคิดหรือวิธีทำงาน เราก็คงได้แค่แรงบันดาลใจ ถ้าเราอยากเป็นแบบเขา เราก็ต้องไปผ่านประสบการณ์แบบเขาค่ะ
ลองนึกดูว่า…กว่าจะเป็นคน ๆ นึง กว่าจะเป็นทุกวันนี้ เขาต้องผ่าน “ประสบการณ์ตรง” ที่เขาได้ลองลงมือทำในชีวิตเขา
แค่เราไปเห็น เราจะเป็นแบบเขาไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้เลยค่ะ…

▶️ ที่สำคัญที่สุด
ชีวิตเขา การทำงานของเขา
เราเรียนรู้มาปรับใช้มาเป็นแรงบันดาลใจได้
แต่แค่ดูไม่ช่วยอะไรค่ะ !
นอกจากกระตุ้นให้เราไปลงมือทำกับชีวิตตัวเอง แต่ถ้าเราไม่ลุกออกไปทำอะไร
เราเองนี่แหละที่จะอยู่ที่เดิมค่ะ.
หนูดี วนิษา เรซ…เรื่อง
นุ่นนิ่น ภัทราพร…เขียน